ลมสินค้า : เส้นทางสู่อำนาจของยุโรป และการขึ้นฝั่งสยามของชาวจีน
เราอาจจะเคยได้ยินบทกลอนที่ ขึ้นต้นว่า "วิชาเหมือนสินค้าอันมีค่าอยู่เมืองไกลต้องยากลำบากไปจึงจะได้สินค้ามา จงตั้งเอากายเจ้าเป็นสำเภาอันโสภา..." เป็นการเปรียบเทียบการแสวงหาความรู้กับการประคองตัวฝ่าคลื่นลมของสำเภา ในยุคสมัยที่การเดินเรือเป็นไปอย่างยากลำบากและเสี่ยงภัย

ภาพการขึ้นฝั่งบราซิลของกองเรือโปรตุเกสในศตวรรษที่ 18
ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Nossa_Senhora_da_Concei
ก่อนคริสตศตวรรษที่ 19 มนุษย์ในทุกซีกโลกเดินทางไกลโดยอาศัยแรงลมช่วยพัดใบเรือและอาศัยความรู้ที่สะสมมาช่วยให้เดินทางได้ไกลขึ้นเรื่อยๆ การค้นพบลมสินค้าคือจุดหมายสำคัญที่เปิดโลกฝั่งตะวันออกและตะวันรวมถึงซีกโลกเหนือใต้เข้าด้วยกัน
เดิมยุโรปเป็นเพียงดินแดนเล็กๆ หากเทียบกับเอเชีย และในขณะที่ชาวจีน อาหรับและเปอร์เซียท่องทะเลไกลซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างเอเชียกับยุโรป มานานนับพันปี ยุโรปทำได้เพียงรับซื้อและขายสินค้าผ่านชาวอาหรับ และการค้าผ่านเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าทางบกที่เริ่มจากจีน ผ่านโลกมุสลิมเข้าสู่ยุโรป
เรื่องราวของชาวยุโรปที่เดินทางไปยังดินแดนมั่งคั่งในเอเชียผ่านเส้นทางสายไหม อย่างเช่น มาร์โคโปโล สร้างความปรารถนาให้ชาวยุโรปต้องการไปถึงดินแดนตะวันออก เพื่อแสวงหา ทองคำ เงิน และเครื่องเทศ ซึ่งเป็นที่ต้องการของยุโรปในเวลานั้น
เมื่อถึงศตวรรษที่ 15 ชาวเติร์กยึดคอนสแตนติโนเปิลจากชาวคริสต์ในปี ค.ศ.1453 ขยายอาณาจักรออตโตมันและเข้าครอบครองเส้นทางการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน รวมทั้งกีดกันชาวยุโรปออกจากการค้าในเส้นทางเส้นไหม บีบบังคับให้ชาวยุโรปต้องหาเส้นทางอื่นๆ นอกโลกมุสลิม
ความปรารถนานี้บรรลุผล ในปลายศตวรรษที่ 15 เมื่อชาวโปรตุเกสต่อเรือคาร์แร็คและเรือคาราเวล ที่สามารถเดินทางฝ่าคลื่นลมแรงในมหาสมุทรสำเร็จ และเริ่มจากการแล่นเรือไปตาม ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อค้นหาแหล่งที่มาของทองคำที่คาราวานอูฐจากโลกมุสลิมนำมาขาย รวมถึงแล่นเรือไปตามหมู่เกาะเพื่อค้นหาเครื่องเทศ ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญในเวลานั้น ทั้งหมดทำให้ชาวโปรตุเกสสะสมประสบการณ์การเดินเรือจนเข้าใจระบบลมในมหาสมุทรและค้นพบลมสินค้าอันเป็นประตูสู่มหาสมุทรอินเดีย
วาสโก เดกามา กัปตันชาวโปรตุเกสเป็นคนแรกที่นำเรือเดินทางไกลข้ามมหาสมุทรอินเดียในปี ค.ศ.1497-98 โดยข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกทางตอนใต้ อ้อมปลายสุดทวีปแอฟริกา แล่นผ่านทะเลลึก เพื่อให้ลมและกระแสน้ำเอื้ออำนวยเข้าสู่ชายฝั่งตะวันออกของอินเดีย เขาใช้เวลาเดินทางสามเดือน รวมระยะทาง 6,000 ไมล์ในทะเล
ลมสินค้าเช่นกันที่พัดพาสำเภาของบรรพบุรุษชาวจีนมาขึ้นฝั่งในดินแดนสยาม
ชาวจีนมีความสามารถในการต่อเรือสำเภา รู้จักลม และเข้าใจกระแสน้ำมาช้านาน เมื่อถึงสมัยราชวงศ์ถัง (ราวศตวรรษที่ 7) ท่าเรือของจีนก็เต็มไปด้วยสำเภาการค้าแล้ว และก่อนที่ชาวโปรตุเกสจะพบกับประตูสู่อินเดีย เกือบ 100 ปี เจิ้งเห้อได้นำกองเรือจีน ออกท่องโลกถึง 7 ครั้ง ในเวลากว่า 30 ปี (ค.ศ.1405-1435)

เรือจำลองจากเรือขนาดใหญ่ 9 กระโดงของเจิ้งเหอ ในพิพิธภัณฑ์ กรุงไทเป ไต้หวัน
ชาวจีนแล่นเรือไปทั่วโลกโดยอาศัยลมสินค้าและลมมรสุม ทั้งนี้ลมสินค้าและลมมรสุมมีความสัมพันธ์กัน โดยมรสุมซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ส่งผลให้ลมสินค้าเปลี่ยนทิศทาง และรูปแบบ การพัด ของลมสินค้าที่เปลี่ยนไปในฤดูมรสุม ทำให้การเดินเรือในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นเขตมรสุมครบวงจร
ลมสินค้าเป็นลมที่พัดจากขั้วโลกไปยังเส้นศูนย์สูตร แต่เนื่องจากการหมุนของโลก ทำให้เกิดแรงคอริออลิส (coriolis force) กระแสลมจึงเบี่ยงทิศทางออกไปทางตะวันออก แบ่งออกเป็น ลมสินค้าตะวันออกเฉียงเหนือ จากซีกโลกเหนือ และลมสินค้าตะวันออกเฉียงใต้จากซีกโลกใต้ ลมทั้งสองจะไหลมาพบกันบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร หรือจุดกึ่งกลางของโลก เกิดเป็นเขตร่องมรสุม (Inter-Tropical Convergence Zone : ITCZ)
ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นและลงจากเส้นศูนย์สูตรตามฤดูกาล ชาวจีนรู้ว่า เมื่อถึงฤดูหนาว (ราวเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) ลมจะพัดแรงขึ้น นั่นเป็นช่วงเวลาที่ลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มกำลังจากร่องมรสุมที่เลื่อนลงจากทะเลจีนใต้มายังคาบสมุทรมลายู เกิดเป็นลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ(หรือลมมรสุมฤดูหนาว) ที่นำความหนาวเย็นจากพื้นดินด้านบนมายังทะเล ในช่วงเวลานี้ชาวจีนจะออกเรือโดยอาศัยกระแสลมตะวันออกเฉียงใต้จากท้ายเรือ ดันเรือลงใต้และไปทางตะวันตก

แสดงทิศทางลมเพิ่มเติมจากภาพแผนที่จาก Google Map
จากนั้นก็จะจอดเรืออยู่ในเขตใกล้เส้นศูนย์สูตร เช่น แหลมมลายู เพื่อรอ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ราวเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนตุลาคม) ในช่วงเวลานี้ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นจากเส้นศูนย์สูตรไปยังทะเลจีนใต้
เป็นช่วงเวลาที่ลมสินค้าตะวันออกเฉียงใต้พัดผ่านบริเวณศูนย์สูตร และแรงคอริออกลิสทำให้ลมเปลี่ยนทิศอีกครั้งจากตะวันออกเฉียงใต้เป็นตะวันตกเฉียงใต้ ลมจะพัดจากทะเลขึ้นสู่แผ่นดิน นำเอาความชื้นและมวลน้ำไปด้วย บางครั้งจึงเรียกว่า ลมมรสุมฤดูฝน ลมนี้จะช่วยเรือขึ้นเหนือไปทางตะวันออก พาสำเภาจีนกลับบ้าน
ในทางกลับกันนักค้าสำเภาจากฝั่งตะวันตก เช่น สำเภาของอาหรับ และเปอร์เซีย จากตะวันออกกลาง ที่นำสินค้าจากยุโรปมาเอเชีย ก็อาศัยประโยชน์ของลมมรสุมในมหาสมุทรอินเดียเดินทางมาค้าขายกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานนับพันปีเช่นกัน พวกเขาอาศัยลมมรสุมฤดูฝนแล่นเรือเข้ามายังแหลมมลายู ในขณะที่สำเภาจีนแล่นกลับไป และพักรอให้ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดใบเรือแล่นกลับไปทางตะวันตกอีกครั้ง ในขณะที่สำเภาจีนแล่นเข้ามา
คาบสมุทรมลายูจึงมีความสำคัญในฐานะเมืองท่าแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออกมาช้านาน รวมทั้งเป็นจุดที่ชาวจีนเริ่มตั้งถิ่นฐาน ทำความคุ้นเคยกับดินแดนแถบนี้ และเข้ามาค้าขาย ตลอดจนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสยาม รวมถึงชายฝั่งอันดามันในเวลาต่อมา
ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างพ่อค้าชาวมุสลิมและจีน ที่ครองน่านน้ำอยู่เดิมกับผู้มาใหม่ชาวยุโรป ก็คือ เรือยุโรปมาพร้อมกับปืน และเข้ายึดครองพื้นที่จากชาวพื้นเมือง ก่อตั้งเป็นอาณานิคม เพื่อผูกขาดการค้าแสวงหาความมั่งคั่งจากทรัพยากรในโลกตะวันออก เริ่มจากเครื่องเทศ เงิน และทอง ไปสู่มีสินค้าอื่นๆ อีกนับพันรายการ ทั้งอาหาร แร่ อัญมณี ฯลฯ
เริ่มจากต้นศตวรรษที่ 16 (ราว ค.ศ.1520)โปรตุเกส เข้าครอบครองหมู่เกาะเครื่องเทศ (เกาะมาลูกู/โมลุกกะ ในอินโดนีเซียปัจจุบัน) ควบคุมการเดินเรื่อผ่านช่องแคบมะละกา โดยยึดมะละกาเป็นอาณานิคม ผูกขาดการค้าเครื่องเทศ พร้อมทั้งจัดตั้งสถานีการค้าในมาเก๊า และนางาซากิ เพื่อค้ากับชาวจีนและญี่ปุ่น

ภาพวาดของญี่ปุ่น แสดงการมาถึงของเรือโปรตุเกส ที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่าเรือดำ
ในเวลาใกล้เคียงกัน สเปนเข้ายึดครองชายฝั่งของอเมริกา หลังจากที่คริสโตเฟอร์โคลัมบัสออกเดินทางตามลมสินค้า ไปทางตะวันออก โดยคาดว่าจะไปถึงอินเดีย แต่กลับไปเจอทวีปอเมริกาโดยบังเอิญ
การเดินเรือไปอเมริกา ทำให้นักเดินเรือสเปน ค้นพบว่า มีรูปแบบของกระแสลมสินค้าในมหาสมุทรเแปซิฟิก เช่นกันกับในมหาสมุทรแอตแลนติก
สเปนเข้ายึดพื้นที่สองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก สร้างอาณานิคมในมะนิลา(ฟิลิปปินส์) เพื่อทำการค้ากับจีน แลกเปลี่ยนผ้าไหม เครื่องลายคราม และเครื่องเทศ กับเงินจากอาณานิคมในอากาปุลโก (เม็กซิโก) นอกจากนี้สเปนยังเข้ายึดครองดินแดนเกือบทั้งหมดของอเมริกาใต้ ยกเว้นบราซิลที่เป็นอาณานิคมของโปรตุเกส
ต่อมาชาวดัตซ์(ฮอลันดา/เนเธอแลนด์) ค้นพบเส้นทางลัดจากปลายทวีปแอฟริกา ตัดไปยังฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรอินเดีย เข้าสู่หมู่เกาะเครื่องเทศทางช่องแคบซุนดา แทนช่องแคบมะละกาของโปรตุเกส และตั้งอาณานิคมในปัตตาเวีย(อินโดนีเซีย)
จากนั้นฝรั่งเศสและอังกฤษ ก็ออกเรือตามมา นำโลกเปลี่ยนผ่านจากยุคการค้นพบในปลายศตวรรษที่ 15 สู่ยุคการล่าอาณานิคมในกลางศตวรรษที่ 16
นอกจากการล่าอาณานิคม ยังมีการค้าทาสในเขตสามเหลี่ยมทางการค้า ที่เรือจะนำ สิ่งทอและอาวุธ จากยุโรปออกไปขายที่ชายฝั่งแอฟริกา แล้วขนทาสลงเรือไปทำงาน ปลูกฝ้าย อ้อย ยาสูบ และกาแฟ ในอเมริกา จากนั้นนำผลผลิตลงเรือกลับไปขายในยุโรป

ท่าเรือในสิงคโปร์ ยุคอาณานิคมของอังกฤษ ราวปี ค.ศ. 1900
ภาพของ G.R. Lambert & Co. (Singapore) จาก Leiden University Libraries Digital Collections
เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 แทบไม่มีพื้นที่ใดในเอเชียรอดพ้นจากการถูกบังคับให้เปิดประเทศ หรือกลายเป็นประเทศอาณานิคม เช่นเดียวกับประเทศชายฝั่งในทวีปแอฟริกาและอเมริกา แม้กระทั่งจีนก็ถูกบังคับให้เปิดประเทศและยอมให้เช่าเขตเมืองท่าสำคัญ
เรียกได้ว่าความรู้เรื่องกระแสลมและกระแสน้ำได้สร้างโฉมหน้าใหม่ของโลก และนำยุโรปขึ้นสู่อำนาจ จนกระทั่งถึงสงครามโลกครั้งที่ 2
แม้การเดินเรือทุกวันนี้จะไม่ต้องอาศัยแรงลมอีกต่อไป แต่กระแสลมและกระแสน้ำก็ยังคงมีความสำคัญสำหรับการเดินเรือ รวมถึงเส้นทางการบิน และสิ่งหนึ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ ความพยายามที่ครองอำนาจเหนือน่านน้ำ
ในเวลานี้ จีนต้องการเปลี่ยนภูมิศาสตร์ทางการเมืองอีกครั้ง และส่วนหนึ่งของการขยายอำนาจจีนคือ การตรึงอำนาจในทะเลจีนใต้และสร้างเส้นทางสายไหมทางทะเล จากทะเลจีนใต้ไปทางตะวันตก เชื่อมโยงการค้าในสามทวีป คือ เอเชีย แอฟริกา และยุโรป
ข้อมูลจาก
หมายเหตุ ผู้เขียนเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ข้อเขียน ห้ามคัดลอก หรือนำไปใช้โดยไม่อ้างอิงถึงแหล่งที่มา
Comments