ป่าชายเลนโบราณผืนสุดท้าย
- supita reongjit
- Sep 30
- 3 min read
Updated: Oct 4
ใต้เงาแลนด์บริดจ์
สุพิตา เริงจิต
ภายใต้การสนับสนุนของ Thai PBS

มีเรื่องเล่าว่า ป่าชายเลนเก่าแก่ของระนอง ซึ่งเป็นชายเลนดั้งเดิมผืนสุดท้ายของภูมิภาคนี้ อยู่รอดปลอดภัยมาได้เพราะบารมีโจรป่า ทำให้คนในยุคของเรามีโอกาสได้เห็นแสมทะเลต้นใหญ่ที่สุดในโลก ต้นตะบูนดำที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 6 เมตร และโกงกางยักษ์ที่ผ่านกาลเวลามากว่า 200 ปี

ในปีที่ผ่านมา (2567) ป่าโบราณผืนนี้ ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง และเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน กำลังจะก้าวเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
...หากไม่มีเมกะโปรเจกต์แลนบริดจ์
ป่าชายเลนกำเนิดจากความทรหดอดทน ณ จุดที่แผ่นดินบรรจบกับทะเล ที่พื้นดินเต็มไปด้วยโคลนตม มีปริมาณออกซิเจนต่ำ น้ำเค็มท่วม คลื่นลมแรง เป็นสภาพแวดล้อมที่พืชอื่นไม่อาจรอดชีวิต พืชป่าชายเลนวิวัฒนาการขึ้นจากสภาพแวดล้อมนี้ สร้างระบบกรองเกลือหลากหลายรูปแบบ พร้อมโครงสร้างรากค้ำยันที่ซับซ้อน ช่วยส่งออกซิเจนให้รากใต้ดิน พร้อมทั้งยึดลำต้นไว้ ต้านลมและคลื่น เปลี่ยนสภาพแวดล้อมสุดโหดให้เป็นแหล่งกำเนิดชีวิต เป็นถิ่นฐานของสรรพสัตว์ และกลายเป็นเงื่อนไขความสมบูรณ์ของท้องทะเล

เรื่องราวของป่าอายุร่วม 300 ปี ผู้สร้างความอุดมให้ชายฝั่งและท้องทะเลอันดามันตอนบน ที่ไม่ปรากฏในรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) อันเนื่องจากโครงการแลนด์บริดจ์ ด้วยเหตุผลที่ว่า ตั้งอยู่นอกเหนือพื้นที่โครงการและรัศมีห้ากิโลเมตร
ในขณะที่การขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ไม่อาจละเลยโครงการแลนบริดจ์ สะท้อนให้เห็นมุมมองต่อพื้นที่ที่แตกต่างกัน “เมื่อมีโครงการแลนด์บริดจ์ ก็ต้องเพิ่มข้อมูลผลกระทบจากโครงการนี้ เข้าไปในเอกสารนำเสนอ (Nomination Dossier) เพื่อขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก ซึ่งทำเสร็จก่อนจะมีโครงการแลนด์บริดจ์” ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หนึ่งในคณะผู้วิจัยเพื่อจัดทำเอกสารนำเสนอพื้นที่มรดกโลก ชี้ที่มาของปัญหาและย้ำให้เห็นความสำคัญ
“ทั้งนี้เพราะโครงการแลนด์บริดจ์กับพื้นที่เสนอมรดกโลกอยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน ที่เริ่มตั้งแต่ลำนำกระบุรีในจังหวัดระนอง จนถึงบริเวณอ่าวเคยในเขตจังหวัดพังงา ฉะนั้นการศึกษาผลกระทบจากโครงการแลนด์บริดจ์ ต้องทำอย่างคลอบคลุมและรอบคอบ เพราะนี่เป็นระบบนิเวศน์ทางทะเลที่ดีที่สุดที่เราเหลืออยู่”
ป่าดั้งเดิมผืนสุดท้าย
Gordon Maxwell นักนิเวศวิทยาเล่าถึงแสมทะเลยักษ์ที่ระนอง ในวารสาร The Biologist ฉบับที่ 1 ปีที่ 66 (2019) ว่า เป็นแสมทะเลต้นใหญ่ที่สุดในดาวเคราะห์ดวงนี้ จากประสบการณ์ที่เขาเดินทางเพื่อศึกษาป่าชายเลนในหลากหลายภูมิภาคร่วม 40 ปี นับตั้งแต่ ปี 1978 เขาไม่เคยเห็นต้นแสมทะเลขนาดใหญ่เท่านี้ หรือขนาดใกล้เคียงมาก่อน ในทุกภูมิภาคทั้งเขตหนาวและเขตร้อน แสมทะเลที่พบเป็นไม้ขนาดเล็ก เช่น แสมทะเลในฮ่องกงซึ่งอยู่เขตร้อนชื้นเช่นเดียวกับไทย สูงแค่เพียง 1-2 เมตร เท่านั้น

ในประเทศไทยแสมทะเลโดยทั่วไปสูงประมาณ 3-8 เมตร แต่แสมทะเลต้นนี้มีความสูงถึง 35 เมตร เท่ากับตึกราว 8 ชั้น มีเส้นรอบวงลำต้นราว 3.5 เมตร เกือบเท่าห้องขนาดเล็กเลยทีเดียว นักวิทยาศาสตร์ด้านป่าไม้ของไทยประมาณอายุไว้ที่ 150-180 ปี
แสมทะเลยักษ์อยู่ในพื้นที่ป่าเก่าแก่ ที่รอดปลอดภัยมาถึงทุกวันนี้อย่างน่าอัศจรรย์ “แปลกมากที่พื้นที่ป่าตรงนั้นไม่เคยไม่ใครเข้าไปใช้ประโยชน์ ผ่านยุคเหมืองแร่ เตาเผาถ่าน และนากุ้งมา มีเรื่องเล่าหลายอย่างถึงเหตุที่ทำให้คนไม่กล้าไปยุ่งกับป่าบริเวณนั้น บ้างก็ว่าแต่ก่อนที่นั่นเป็นรังโจร” ชลวิชช์ สามารถ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ ศูนย์วิจัยป่าชายเลนและพื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง เล่าความเป็นมา “ป่าส่วนนี้จึงเป็นป่าดั้งเดิม ที่ไม่เคยถูกรบกวนจากกิจกรรมของมนุษย์”
เดิมระบบนิเวศชายฝั่งปากแม่น้ำและป่าชายเลน เคยเป็นระบบนิเวศหลักที่พบได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ที่ปากแม่น้ำอิระวดีในเมียนมาร์ แต่ปัจจุบันป่าชายเลนส่วนใหญ่ถูกใช้ประโยชน์จนเสียสมดุลธรรมชาติ ป่าดั้งเดิมของระนองผืนนี้ จึงเป็นป่าปฐมภูมิ (Primary forest) ผืนสุดท้ายของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ข้อมูลจากเอกสารนำเสนอขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก ระบุว่า ไม้ป่าชายเลนที่พบในป่าดั้งเดิม มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก บางต้นมีอายุมาก 300 ปี เช่น ต้นตะบูนดำใหญ่ ที่มีขนาดเส้นรอบวงมากกว่า 6 เมตร เรียกว่าใหญ่ว่าหน้าตึกแถวหนึ่งห้อง และสูงถึง 26 เมตร ตะบูนดําต้นนี้อยู่ในบริเวณที่มีกลุ่มต้นตะบูนดําขึ้นต่อเนื่องเป็นผืนใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นอกจากนี้ยังมียังมีต้นโกงกางใบเล็กต้นใหญ่ที่สุดของไทย เส้นรอบวงประมาณ 2 เมตร อยู่ในกลุ่มโกงกางที่สูงกว่า 30 เมตรอีกจำนวนมากในป่าโกงกางขนาดราว 500 ไร่ ทั้งยังพบไม้กลุ่มอื่นๆ ที่ล้วนแล้วมีขนาดใหญ่ รวมทั้งหงอนไก่ใบเล็ก ซึ่งเป็นพืชที่อยู่ในสถานะเฝ้าระวังความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์
ป่าดั้งเดิมผืนนี้ จึงเป็นตัวแทนของป่าธรรมชาติที่หาได้ยาก มีพรรณไม้หลากหลายตั้งแต่ระดับเรือนยอดไปจนถึงพืชชั้นล่าง ที่มีขนาดและอายุต่าง ๆ กัน ไม่ต่างจากแคปซูลกาลเวลาบรรจุพัฒนาการทางนิเวศป่าชายเลน
ลักษณะพิเศษทางภูมิศาสตร์
ไม่เพียงมีป่าเก่าแก่ พื้นที่ป่าชายเลนระนองยังตั้งอยู่บนตำแหน่งพิเศษทางธรณีวิทยา ทำให้บริเวณนี้มีความสำคัญ ในฐานะ ‘เขตการเปลี่ยนแปลงทางชีวภูมิศาสตร์ ’
“บริเวณลำน้ำกระบุรีเป็นจุดที่แผ่นเปลือกโลกสองแผ่นเคลื่อนมาชนกันตรงรอยเลื่อนระนอง เป็นจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงทางชีวภูมิศาสตร์ สิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือรอยเลื่อนขึ้นเป็นคนละกลุ่มประชากรกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้รอยเลื่อนลงมา บริเวณนี้เป็นเหมือนสะพานที่สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ เคลื่อนที่ไปมาระหว่างซีกโลกเหนือและใต้” ศักดิ์อนันต์ อธิบายถึงลักษณะพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อองค์ความรู้ด้านชีววิทยา เช่น เป็นจุดเปลี่ยนของสังคมนกสายพันธุ์อินโดจีนและสายพันธุ์ซุนดาอิก

ยิ่งไปกว่านั้น การที่ระนองตั้งอยู่ตรงบริเวณแคบๆ ของคอคอดกระ อยู่ภายใต้อิทธิพลจากลมมรสุมทั้งสองฝั่งทะเล ได้รับน้ำฝนจากมรสุมยาวนานกว่า 8 เดือนต่อปี ส่งผลให้ป่าชายเลนแห่งนี้ มีลำคลองเล็กๆ จำนวนมากเชื่อมต่อกัน
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ทั้งหมดนี้ เอื้อให้ป่าชายเลนระนองเป็นระบบนิเวศน์ที่มีความอุดมสมบูรณ์และเป็นที่รวมของความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคอินโด – อันดามัน
พื้นที่สงวนชีวมณฑล
“ป่าชายเลนของระนองเป็นป่าผืนใหญ่ขนาด 171,737 ไร่ ในแง่พื้นที่จะน้อยกว่าจำนวนป่าชายเลนในจังหวัดพังงา แต่มีความพิเศษที่เป็นผืนป่าต่อเนื่องผืนใหญ่ที่สุด และเป็นผืนเดียวที่เหลืออยู่ของประเทศ” ชลวิชช์ สามารถ ให้ข้อมูลจากส่วนบริหารจัดการพื้นที่ป่าชายเลนระนองสู่มรดกโลก

ในปี 2540 ส่วนหนึ่งป่าชายเลนผืนใหญ่นี้ เริ่มต้นจากพื้นที่ป่าดั้งเดิม ได้รับการประกาศจากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ให้เป็น พื้นที่สงวนชีวมณฑล (Biosphere Reserve) โดยมีจุดประสงค์ข้อแรก คือ เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
“การสำรวจล่าสุด พบพันธุ์ไม้ป่าชายเลนถึง 53 ชนิด” คิดเป็นราวร้อยละ 65 ของพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่มีอยู่ทั้งหมด 81 ชนิด และในจำนวนที่พบ เป็นพันธุ์ไม้ในกลุ่มต้องเฝ้าระวังหรือมีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ 6 ชนิด คือ พังกา-ถั่วขาว หงอนไก่ใบเล็ก น้ำนอง เป้ง ลำแพน และ โปรงขาว

ป่าแห่งนี้มีนกจำนวนมากถึง 246 ชนิด ส่วนสัตว์อื่นๆ ที่พบจำนวนมากมี ลิงแสม กระรอก ตะกวด และ งูชนิดต่างๆ ที่สำคัญขนาดของป่าผืนใหญ่ยังเป็นที่หลบภัยของสิ่งมีชีวิตที่ถูกคุกคามในพื้นที่อื่น เช่น ลิงเสน นากใหญ่ขนเรียบ

นอกจากส่วนที่เป็นป่าชายเลน พื้นที่สงวนชีวมณฑลระนองยังมีส่วนที่เป็นป่าบกและพื้นน้ำที่อุดมด้วยประการังและหญ้าทะเล


“ที่นี่มีความสมบูรณ์พอที่จะเป็นมรดกโลก มีปะการัง 2000 กว่าไร่ มีหญ้าทะเล และมีสัตว์หายาก เช่น โลมาสีชมพู มีสัตว์เฉพาะถิ่น คือ แม่หอบ ซึ่งเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ตั้งแต่ยุคไมโอซีน ราว 16 ล้านปีก่อน จะคล้ายลูกผสม ปู กุ้ง และกั้ง”

แม่หอบ (Mud Lobster) ได้ชื่อจากเดิมที่ใช้เป็นยาป่นกินรักษาอาการหอบ ปัจจุบันไม่มีใครใช้แม่หอบรักษาโรค แต่สัตว์ดึกดำบรรพ์ชนิดนี้ยังคงความสำคัญต่อป่าชายเลน ด้วยการขุดขุดรู ขนดินขึ้นมากองเป็น ‘จอมหอบ’ ซึ่งมีขนาดใหญ่ไม่แพ้จอมปลวก ช่วยเพิ่มออกซิเจนในดิน และเอื้อให้พืช ตลอดจนสัตว์อื่นๆ เข้ามาอาศัย
ความสมบูรณ์และเก่าแก่ของป่าชายเลนซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายพันธุ์ รวมทั้งพืชและสัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์ เป็นที่มาของโครงการยกระดับจากพื้นที่สงวนชีวมณฑลเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ

“เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน ทั้งทางกระทรวงทรัพยากรฯและจังหวัดระนอง มุ่งมั่นจะผลักดันพื้นที่สงวนชีวมณฑลให้เป็นมรดกโลก ถึงกับมีแผ่นป้ายขนาดใหญ่โฆษณาไว้ที่สนามบิน แต่ตอนนี้มีข้อติดขัดหลายอย่างที่ทำให้ต้องพักไปก่อน” ธมนัย ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยป่าชายเลนและพื้นที่สงวนชีวมณฑลระนอง เล่าถึงแผนงานที่ผ่านมา
“แต่เราก็ยังเป็นพื้นที่ชีวมณฑล ที่ทางยูเนสโกมีเงื่อนไขในการจัดการที่เข้มงวด มีการแบ่งพื้นที่เป็นโซนที่ต้องอนุรักษ์ไว้ และในส่วนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งเราต้องทำรายงานการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ทุกสิบปี” ทั้งนี้ก็เพื่อดำรงไว้ซึ่งจุดประสงค์ที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

สองแพร่ง
พื้นที่ชีวมณฑลและป่าชายเลนระนองเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อนุรักษ์ทะเลอันดามัน(ในล้อมกรอบ) ที่ได้รับการนำเสนอขึ้นเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ โดยมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 แต่กลับติดค้างในขั้นตอนสุดท้ายคือ การขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งเดิมคาดหมายว่าจะเสร็จสิ้นตั้งแต่ปี 2567 ในขณะเดียวกันมีเมกะโปรเจกต์แลนด์บริดจ์เกิดขึ้น

“ตอนนี้การเสนอเป็นมรดกโลกต้องชะงักไป เท่ากับเราต้องเสียโอกาสหลายอย่างที่จะตามมาจากการได้เป็นมรดกโลก ไม่ว่าจะเป็นความยั่งยืนในการอนุรักษ์พื้นที่ หรือรายได้ที่จากการท่องเที่ยวแหล่งมรดกโลก เป็นความสูญเสียที่ต้องมาชั่งน้ำหนักกับโครงการแลนด์บริดจ์” ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์จากหน่วยวิจัยปะการังและพื้นทะเล มอ. หนึ่งในคณะวิจัยโครงการนำเสนอพื้นที่อนุรักษ์ทะเลอันดามันสู่มรดกโลก ชี้ผลกระทบที่ไม่ปรากฎในร่าง EHIA (Environmental and Health Impact Assessment) การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมอ่าวอ่าง ระนอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของโครงการแลนด์บริดจ์

“ EHIA ศึกษาเฉพาะตรงพื้นที่ก่อสร้างกับรัศมีห้ากิโลเมตร และชี้ว่ามีผลกระทบน้อยมาก ไม่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งยากจะเป็นไปได้” นักวิจัยทางทะเล ตั้งข้อสังเกตเปรียบเทียบกับผลการศึกษาของคณะทำงานมรดกโลก “แม้ไม่ได้ศึกษาตรงพื้นที่โครงการฯ แต่ในพื้นที่รอบๆ ทั้งหมดที่เราไปเก็บข้อมูล ล้วนมีความสมบูรณ์ อย่างที่แหลมสน ซึ่งอยู่ถัดมาทางใต้จากบริเวณที่จะสร้างท่าเรือของโครงการแลนด์บริดจ์นิดเดียว เราเจอสัตว์หน้าดินจำนวนมาก แสดงถึงความสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพ ในขณะที่ EHIA ระบุว่าพบสัตว์หน้าดินน้อยมาก”

เขายังเห็นว่ามีความไม่สอดคล้องกันระหว่างผลการศึกษา EHIA กับการประกาศพื้นที่คุ้มครองเกาะพยามในปีที่ผ่านมา(2567) “พื้นที่คุ้มครองเกาะพยามที่ประกาศใหม่ ซ้อนทับกับเขตรัศมีพื้นที่โครงการแลนด์บริดจ์ และเหตุผลของการคุ้มครอง ก็คือ ความหลากหลายทางชีวภาพ”

น้ำหนักของความสูญเสีย
นอกจากตั้งข้อสังเกตต่อผลการศึกษา EHIA นักวิจัยทางทะเลยังเห็นว่า การศึกษาเฉพาะพื้นที่โครงการก่อสร้างท่าเรือและรัศมี 5 กิโลเมตร เป็นการมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าระบบนิเวศมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน
“จากลำน้ำกระบุรี ลงไปถึงอ่าวเคย เกาะระ เกาะพระทอง ที่เป็นรอยต่อของจังหวัดระนองกับพังงา ทั้งหมดเป็นระบบนิเวศเดียวกัน กระแสน้ำ การพัดพาตะกอนสารอินทรีย์ การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน”
“การสร้างท่าเรือที่มีการถมทะเลราว 7,000 ไร่ ขนาดใกล้เคียงกับเกาะพยามที่มีพื้นที่ 10,000 ไร่ ต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อระบบนิเวศทั้งหมด เช่น การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ การเดินทางของสัตว์ทะเลระหว่างทะเลลึกกับป่าชายเลนซึ่งเป็นพื้นที่วางไข่ ที่จะถูกขัดขวาง”
“นอกจากนี้ การศึกษาไม่ครอบคลุมกิจกรรมที่จะตามมา เช่น การขุดร่องน้ำ การทำแนวกันคลื่น หรือ เส้นทางการเดินเรือ รวมถึงส่วนอื่นๆ ของโครงการแลนด์บริดจ์ เช่น ถนนไปท่าเรือ ที่ต้องตัดผ่านป่าชายเลนประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่เตรียมมรดกโลกและเป็นป่าชายเลนผืนใหญ่ผืนสุดท้าย มีทั้งป่าดั้งเดิม และป่าชายเลนที่ฟื้นกลับมา”

ทั้งนี้ ร่าง EHIA ศึกษาเฉพาะส่วนของการก่อสร้างท่าเรือ เนื่องจากมีการแยกโครงการแลนด์บริดจ์ ออกเป็นส่วนๆ คือ ส่วนของท่าเรือแยกเป็นสองฝั่ง ทางรถไฟ และมอเตอร์เวย์ อีกทั้งยังเป็นการศึกษาเฉพาะผลกระทบจากการก่อสร้าง ไม่รวมถึงกิจกรรมที่จะตามมาหลังเปิดดำเนินการ
“การศึกษาที่จำกัดพื้นที่ ขาดรายละเอียดและไม่ครอบคลุม ทำให้เกิดข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ นำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง เมื่อเทียบกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบนิเวศที่ดีที่สุดที่เรามีอยู่ ที่มีลักษณะพิเศษทางภูมิศาสตร์และธรรมชาติแวดล้อมทั้งบนบกและในทะเล”
การแบ่งซอยระบบนิเวศและแตกย่อยอภิมหาโครงการแลนด์บริดจ์เป็นส่วนเสี้ยว ส่งผลให้น้ำหนักของความเสียหายไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง อาทิ นิเวศบริการเฉพาะพื้นที่สงวนชีวมณฑล ที่ไม่ได้รับการนำไปคิดเป็นผลกระทบจากแลนด์บริดจ์ มีมูลค่าสูงถึง 14,501,979,399 บาท (ประเมินโดย สวทช. ปี 2566)
วิชาการใต้ธงการพัฒนา
ประเด็นปัญหาพื้นที่มรดกโลกกับโครงการแลนบริดจ์ นำไปสู่การตั้งข้อสังเกตต่อการตัดสินใจทางนโยบายของ
ภาครัฐที่ขาดทิศทางร่วมของประเทศที่ชัดเจน หรือไม่ก็ขัดกับยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ เปลี่ยนแปลงบ่อย รวมทั้งมีความขัดแย้งระหว่างหน่วยงาน และสะท้อนให้เห็นข้อจำกัดของการใช้ข้อมูลในการกำหนดนโยบาย หลายๆ กรณีเป็นการตัดสินใจก่อนและหาข้อมูลมาสนับสนุนภายหลัง

“การศึกษาผลกระทบเหมือนมีธงอยู่แล้ว ขาดรายละเอียดที่สำคัญ อาจจะด้วยมีเวลาศึกษาที่สั้น ต้องทำให้เสร็จภายในหนึ่งปี แต่ในระบบนิเวศน์ อาจต้องดูกระบวนการมากกว่าหนึ่งปี ดูการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลในแน่ชัด” ศักดิ์อนันต์ พูดถึงปัญหาการขาดข้อมูลพื้นฐานที่เพียงสำหรับการตัดสินใจเชิงนโยบาย
“ที่ผ่านมาประเทศเราไม่ได้ส่งเสริมการวิจัยต่อเนื่องระยะยาวเพียงพอ ในสถานการณ์ปกติ งานวิจัยไม่ค่อยมี เพราะไม่มีงบประมาณและจำนวนนักวิจัยก็น้อย อย่างเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพไม่มีงบที่จะติดตาม งบประมาณจะมีก็ต่อเมื่อมีความต้องการพัฒนา ซึ่งนำไปสู่ข้อจำกัดของการศึกษา”
“ตอนทำวิจัยพื้นที่เตรียมมรดกโลก อยู่ภายใต้งบ 1,800,000 บาท สำหรับการวิจัย 6 อุทยาน เทียบกับงบประมาณ 70 ล้าน ของการทำ EHIA แลนด์บริดจ์ เรามีเงินนิดเดียว แต่เจอความหลากหลายทางชีวภาพมากมาย จากความพยายามที่จะหาค้นหาความจริง ทำงานให้ได้มาตรฐาน เพราะเราจะเสนอมรดกโลก ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกยอมรับ นักวิชาการที่ร่วมกันทำงานก็ล้วนแล้วเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับในด้านนั้นๆ
“ แต่งานระดับ 70 ล้าน ที่เราคาดหมายว่าจะทำได้ดี กลับขาดรายละเอียด ที่สำคัญต่อการตัดสินใจที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดของประเทศ ซึ่งในกรณีของทางฝั่งระนอง จะเป็นการสูญเสียระบบนิเวศครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ เทียบไม่ได้กับพื้นที่ตรงมาบตาพุด” ศักดิ์อนันต์ ย้ำความสำคัญของข้อมูล
ทางเลือกที่แท้จริง
ที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ซึ่งเป็นเจ้าของเมกะโปรเจกต์แลนด์บริดจ์ จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนหลายครั้ง

“การจัดประชุมแล้วถามว่าอยากได้หรือไม่อยากได้โครงการแลนด์บริดจ์ ไม่ใช่ข้อสรุปที่จะนำมาตัดสินใจ ไม่นับว่าผู้เข้าร่วมประชุมเป็นตัวแทนของพื้นที่จริงหรือไม่ ผลกระทบต่อระบบนิเวศต้องตัดสินใจบนข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์” ศักดิ์อนันต์ ให้ความเห็น
ดังนั้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน จำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลที่โปร่งใส ครอบคลุมต่อทุกคำถาม ในแง่มุมผลกระทบอันเนื่องจากโครงการ ซึ่งที่ผ่านมายังมีความเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่แสดงข้อสงสัยต่อร่าง EHIA
อย่างไรก็ตาม การเลือกที่จะเอาหรือไม่เอาแลนบริดจ์ ไม่ใช่ทางเลือกที่คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตัวเอง เนื่องจากทางเลือกในการพัฒนาจำกัดอยู่ที่โครงการแลนบริดจ์ ไม่มีทางเลือกอื่นๆ อาทิ การเป็นแหล่งมรดกโลก
“ความจริงต้องเริ่มจากภาพรวม ตั้งแต่ทิศทางประเทศ ดูความเหมาะสมของพื้นที่ หาทางเลือกที่หลากหลายในการพัฒนา” ศักดิ์อนันต์สรุป และว่าในกรณีพื้นที่อนุรักษ์ทะเลอันดามัน หากจะเดินต่อในเส้นทางสู่มรดกโลก “โครงการแลนด์บริดจ์ ต้องศึกษาผลกระทบต่อพื้นที่นำเสนอมรดกโลก และแนวทางในการจัดการ เพื่อจะได้นำไปเพิ่มเติมในเอกสารนำเสนอ”
ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่การเป็นแหล่งมรดกโลกจะเกิดขึ้นร่วมกับโครงการแลนด์บริดจ์ “อย่างเกรตแบริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef) ก็เป็นมรดกโลก เขาอนุรักษ์ปะการังพร้อมกับที่มีท่าเรือขนส่งสินค้า เพียงแต่ต้องเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมในการสร้าง การออกแบบไม่ให้เกิดผลกระทบ” นักวิจัยทางทะเลให้ความเห็น และย้ำว่า
“การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไม่ได้ขัดแย้งกับการพัฒนา ประเด็นอยู่ที่เราเข้าใจ มีความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ เพียงพอในการตัดสินใจหรือไม่ เพื่อการตัดสินใจที่ต้องพิจารณาทั้งขนาดของโครงการ ผลกระทบ และกำหนดมาตรการการจัดการ อย่างท่าเรือ ควรเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมกว่านี้ไหม โครงการต้องใหญ่ขนาดนี้ไหม ทั้งนี้ไม่นับกับประเด็นความคุ้มค่าของโครการ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากประเด็นนิเวศทางทะเลที่ผมศึกษา อย่างเช่น สร้างแล้ว เรือสินค้าจะมาหรือเปล่า ”
ท้ายที่สุดแล้วอภิมหาโครงการที่ต้องลงทุนระดับแสนล้านนี้ สร้างผลประโยชน์ให้กับท้องถิ่นหรือกระทั่งประเทศมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะแง่มุมความยั่งยืนในระยะยาว
ในเอกสารการนำเสนอพื้นที่สงวนชีวมณฑลขึ้นเป็นมรดกโลก มีเป้าหมายเพื่อ‘เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แน่ใจว่าพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์นี้ จะได้รับการอนุรักษ์สำหรับคนรุ่นต่อไป

ป่าชายเลนระนองเป็นนิเวศป่าชายเลนผืนใหญ่ผืนเดียวของประเทศ ที่มีใจกลางเป็นป่าดั้งเดิมผืนสุดท้าย การตัดสินใจของคนในเวลานี้ ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังคนรุ่นต่อไปในอนาคต บางทีเราอาจจะลืมไปว่าการพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน ก็มีความสำคัญและควรได้รับความใส่ใจไม่น้อยไปกว่าการรักษาดินแดน







Comments