The Crown ซีรีย์อังกฤษที่เล่าถึงเรื่องราวในชีวิตสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ตั้งแต่วัยเยาว์และรัชสมัยอันยาวนาน(ซีรีย์ยังคงค้างอยู่ที่ซีซัน 4 ซึ่งเป็นช่วงทศวรรษ 1980 อังกฤษมีนายกรัฐมนตรีหญิง มาร์กาเร็ต แธตเชอร์และเกิดสงครามฟอล์กแลนด์)
ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ขึ้นครองราชย์ในปี 1952 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษในเวลานั้นตกอยู่ในสภาพที่เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตพระขนิษฐาของพระองค์สรุปว่า “อังกฤษหลังสงคราม คือช่วงเวลาที่ยาวนาน ทุกข์ทน และวิกฤตที่ไม่สิ้นสุด”
พระนาม “เอลิซาเบธ” ให้ความหวังถึงความรุ่งเรืองของอังกฤษ ดังเช่นยุคของควีนเอลิซาเบธที่ 1 ที่อังกฤษสามารถเอาชนะทัพเรือขนาดใหญ่ของสเปนและก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจ อีกทั้งการครองราชย์ของราชินี ยังเป็นยุคสมัยนำไปสู่ความรุ่งเรืองของอังกฤษ เช่นยุคควีนวิกตอเรีย ที่อังกฤษขยายอาณานิคมไปทั่วโลก กลายเป็นจักรววรดิอังกฤษ ‘ดินแดนที่อาทิตย์ไม่ตกดิน’ เพราะไม่ว่าเวลาใดก็ต้องมีแสงอาทิตย์ส่องบนดินแดนไหนสักแห่งของอังกฤษ
อย่างไรก็ตามหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรวรรดิอังกฤษดำเนินมาถึงจุดจบ ประเทศอาณานิคมจำนวนมากประกาศอิสรภาพ และอังกฤษกำลังพยายามรักษาประเทศในเครือจักรภพเอาไว้ เรื่องราวในซีซันแรกของ The Crown แสดงให้เห็นภารกิจของเจ้าหญิงเอลิซาเบธและพระสวามีเจ้าชายฟิลลิป ในการไปเยือนประเทศในเครือจักรภพ เพื่อสานสายสัมพันธ์ และสร้างความมั่นคงของราชวงศ์
ซีรีย์เล่าเรื่องย้อนไปยังครั้งทรงพระเยาว์ เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงเป็นพระธิดาองค์โตของเจ้าชายจอร์จและเลดี้เอลิซาเบธ มีพระขนิษฐาหนึ่งองค์คือ เจ้าหญิงมาการ์เร็ต อายุห่างกัน 4 ปี เป็นครอบครัวเล็กๆ ที่อบอุ่นและอยู่นอกสายตาสังคม เพราะเจ้าชายจอร์จเป็นรัชทายาทลำดับสอง และทรงเป็นคนขี้อาย สมถะ ต่างจากเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดองค์รัชทายาทที่เป็นเจ้าชายรูปงาม ทรงเสน่ห์และเป็นศูนย์กลางความสนใจ
ครั้นเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 และทรงเลือกสละราชบัลลังเพื่อสมรสกับนางซิมสัน หญิงม่ายชาวอเมริกัน ไม่เพียงสร้างความผิดหวังให้กับชาวอังกฤษ แต่ยังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเจ้าชายจอร์จที่ต้องขึ้นครองราชย์ต่อมา
ในซีรีย์จะแสดงให้เห็นความคับข้องใจในเรื่องนี้ของควีนเอลิซาเบธ เมื่อเสด็จเยี่ยมพระปิตุลา(ลุง) ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ ว่า ลุงไม่เคยขอโทษที่ทำให้ครอบครัวของพระองค์ต้องแบกรับภาระแทน
รัชสมัยพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาของพระองค์ จึงเป็นช่วงเวลาของการสร้างความเชื่อมั่นต่อราชวงศ์อีกครั้ง ตามด้วยสงครามโลกครั้งที่สอง ครอบครัวของพระองค์ต้องทรงงานหนักเคียงข้างชาวอังกฤษ ที่เลือกจะต่อสู้กับเยอรมัน แทนการยอมแพ้ แม้จะถูกปิดล้อมเกาะเป็นเวลายาวนานก็ตาม การทรงงานหนักและความตึงเคียดส่งผลกระทบต่อพระพลานามัยของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ทำให้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระชนมายุได้เพียง 57 พรรษา
การสิ้นพระชนม์เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ในขณะที่เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ในฐานะเจ้าหญิงรัชทายาทและพระสวามีอยู่ระหว่างเสด็จเยือนประเทศในเครือจักรภพ ควีนเอลิซาเบธเคยตรัสเล่าย้อนถึงเหคุการณ์ในครั้งนี้ว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้มีเวลาเตรียมตัวมาก่อนเลย เสด็จพ่อจากไปขณะที่ยังทรงมีพระชนมายุไม่มากนัก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องกะทันหันชนิดที่ว่า ต้องเข้ารับหน้าที่และทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทันที” ในซีรีย์เจ้าหญิงเอลิซาเบธตรัสกับเจ้าชายฟิลลิปป์ว่า “ ฉันรู้ดีว่า ฉันถูกรายล้อมด้วยผู้คนที่รู้สึกว่า พวกเขาทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่า และยังมีคนอื่นๆ ที่เข้มแข็งพร้อมทั้งบุคคลิกที่ทรงอำนาจ แต่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ตอนนี้มงกุฎลอยมาบนหัวฉัน และที่ฉันจะพูดก็คือ เราไปกันเถอะ”
ในวันสวมมงกุฎ พระองค์ได้ทรงพระราชดำรัสไว้ว่า “ข้าพเจ้าพร้อมอุทิศชีวิตเพื่อประชาชนของข้าพเจ้า” ถึงอย่างนั้นเมื่อต้องรับภาระอันใหญ่หลวงในวัย 25 พรรษา พระองค์ก็ไม่มั่นพระทัยว่า จะทรงมีความรู้ความสามารถเพียงพอ ด้วยที่ผ่านมาพระองค์ทรงคาดการณ์ว่าอีกหลายสิบปีกว่าที่จะถึงเวลาขึ้นครองราชย์ และกว่าจะถึงเวลานั้นพระองค์คงได้เรียนรู้หลายอย่างจากพระบิดา แต่เหตุการณ์ก็ไม่เป็นดังนั้น
ในวัยเยาว์ เจ้าหญิงเอลิซาเบธไม่ได้ไปโรงเรียน แต่ได้รับการศึกษาภายในพระราชวัง หลังจากพระบิดาเสด็จขึ้นครองราชย์ การศึกษาของพระองค์ได้รับการปรับเปลี่ยน เพื่อปูทางสำหรับการขึ้นเป็นกษัตริย์ ในอนาคต อาทิเช่น การศึกษาประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญ ที่ในเวลานั้นเจ้าหญิงน้อยก็ยังไม่เข้าใจว่า จะช่วยในการเป็นกษัตริย์อย่างไร
ในซีซันแรกของซีรีย์ ซึ่งเป็นในช่วงต้นรัชสมัย แสดงให้เห็นว่า พระองค์ก็ไม่มั่นใจว่าว่าจะมีความรู้เพียงพอที่จะให้คำแนะนำหรือปกครองประเทศ มีหนังสือที่ต้องอ่านเต็มโต๊ะ อย่างไรก็ตามควีนแมรีสมเด็จย่าของพระองค์ทรงแนะนำว่า “ราชวงศ์คือพันธกิจศักดิสิทธิ์ของพระเจ้า...นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ได้รับการสวมมงกุฎในวิหารไม่ใช่ที่ทำการรัฐบาล เหตุที่พระองค์ได้รับการเจิม แทนการแต่งตั้ง และเป็นท่านอาร์คบิชอปที่สวมมงกุฎให้พระองค์ ไม่ใช่รัฐมนตรีหรือข้าราชการ นั่นหมายความว่าหน้าที่รับผิดชอบของพระองค์มีต่อพระเจ้า ไม่ใช่ต่อรัฐบาล” ทำนองเดียวกับที่พระอาจารย์ของพระองค์พูดว่า พระองค์คือส่วนที่ ‘ทรงเกียรติ’ และหน้าที่โดยหลักก็คือการเป็นเสาหลักด้านจริยธรรม
ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ได้ตรัสถึงเรื่องนี้อีกครั้ง หลังจากทรงครองราชย์ได้ 5 ปี ว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถนำพวกท่านรบในสมรภูมิ ข้าพเจ้าไม่ได้มอบกฎหมายหรือตัดสินความยุติธรรมให้ท่านได้ แต่ข้าพเจ้าทำสิ่งอื่นได้ ข้าพเจ้าสามารถมอบหัวใจและการอุทิศตนแก่ประเทศเกาะอันเก่าแก่ และแก่ผู้คนในประเทศ พี่น้องของเราได้”
ซีรีย์ชุดนี้แสดงให้เห็นหลายเหตุการณ์ที่พระองค์ ได้ทำหน้าที่เป็นหลักจริยธรรมและยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ ตลอดจนความมั่นคงของราชวงศ์ ร่วมมือกับผู้นำทางการเมือง นำพาอังกฤษผ่านช่วงวิกฤต ในระหว่างนั้น หลายครั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับผู้นำรัฐบาลไม่ราบรื่นนัก แต่พระองค์ก็ยืนหยัดในการทำหน้าที่ แม้แต่กับ วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีคนแรกในรัชสมัยของพระองค์ ที่เคยดำรงตำแหน่งนี้ในรัชสมัยของพระบิดาของพระองค์ ทั้งเป็นรัฐบุรุษผู้ทรงอำนาจในเกาะอังกฤษ แต่เมื่อพระองค์รู้สึกว่าเชอร์ชิลไม่วางใจ เห็นพระองค์เป็นผู้หญิงและเด็ก ก็ทรงตรัสว่า “ กษัตริย์ที่ทรงเกียรติและรัฐบาลที่ทรงประสิทธิภาพ สถาบันทั้งสองจะทำงานได้ดี ก็ต่อเมื่อต่างสนับสนุนกันและกัน เคารพและวางใจซึ่งกันและกัน”
พระองค์ทรงตระหนักดีว่า “ประวัติศาสตร์ไม่ได้สร้างโดยคนที่ไม่ทำอะไรเลย” การตัดสินพระทัยของพระองค์มีทั้งถูกต้องและผิดพลาด อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดล้วนแล้วแต่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนของราชวงศ์ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของกาลสมัย
ประการสำคัญ ในหลายๆ ครั้งของการตัดสินพระทัย มีความขัดแย้งระหว่างสถานะของสมเด็จพระราชินี กับ ความเป็นลูก เป็นภรรยาและแม่ เป็นการตัดสินพระทัยที่ทำร้ายใจของตัวเองและครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ทั้งน้องสาว และลูก ต้องผิดหวังในความรัก การไม่สนับสนุนการยึดอำนาจจากรัฐบาลของพระญาติผู้ใหญ่ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้พระองค์รู้สึกโดดเดี่ยว
ทั้งหมดที่พระราชินีต้องแบกรับคือ..น้ำหนักของมงกุฎ..
“ฉันจะติดดาวทองให้เธอเอง” เจ้าชายฟิลลิปพราะราชสวามี ให้กำลังใจต่อพระราชินี ที่กำลังสงสัยต่อการตัดสินใจของตัวเอง ในวัยเด็กคุณครูจะให้ดาวทองแก่เด็กที่ประพฤติตัวดี และสมเด็จพระราชินีก็ต้องการกำลังใจเช่นกัน
ซีรีย์เน้นถึงบทบาทของเจ้าชายฟิลลิปที่แม้จะมีบางช่วงของชีวิตสมรสที่ไม่ได้ราบรื่นนัก แต่เจ้าชายฟิลลิป ก็เลือกที่จะอยู่เคียงข้างเป็นแรงสนับสนุนสำคัญตลอดรัชสมัย แม้ว่าต้องเสียสละความต้องการของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นอาชีพการเงานที่ชอบ หรือกระทั่งงานอดิเรก หากกระทบสิ่งนั้นกระทบต่อราชวงศ์ และนั่นคือความสุขในชีวิต ที่เจ้าชายได้สรุปไว้ว่า “ในห้วงเวลาความยากลำบากและเจ็บปวดทุกข์ทน คือที่ที่เราจะได้ค้นพบขุมทรัพย์”
เจ้าหญิงเอลิซาเบธพบกับเจ้าชายฟิลลิปแห่งกรีก เมื่อพระชนมายุ 13 พรรษา ขณะที่เจ้าชายเป็นนักเรียนนายเรือ และได้เข้าพิธีสมรสในอีก 8 ปีต่อมา และครองคู่กันจนกระทั่งเจ้าชายฟิลลิปสิ้นพระชนม์ลงเมื่อเดือนเมษายน ปีที่ผ่านมา ขณะพระชนมายุได้ 99 พรรษา และในคริสต์มาสปีนั้นพระราชินีได้ตรัสถึงคู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมามากกว่า 70 ปีว่า “การเป็นผู้อุทิศตน ความสงสัยใคร่รู้อันชาญฉลาด และความสามารถในการสร้างอารมณ์ขันในสถานการณ์ใดก็ตามของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ความเปล่งประกายอันสดใสของเขายังคงส่องแสงจนถึงวาระสุดท้าย ไม่ต่างจากวันแรกที่ข้าพเจ้าทอดสายตาไปที่เขา”
สมเด็จพระราชชินีเอลิซาเบธ ทรงตรัสไว้ ในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 21 พรรษาว่า “ทั้งชีวิตของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะยาวหรือสั้น พึงอุทิศต่อท่านและราชวงศ์อันยิ่งใหญ่ที่เป็นของเราทุกคน” และในวาระครองราชสมบัติครบ 70 ปี พระองค์กล่าวถึงปณิธานนี้อีกครั้งว่า “ขณะที่เราฉลองครบรอบนี้ ข้าพเจ้ายินดีที่จะทวนคำปฏิญาณที่เคยกล่าวเมื่อปี 1947 อีกครั้งว่า ชีวิตของข้าพเจ้าจะอุทิศเพื่อท่านเสมอ”
หลังสิ้นพระชนม์ลง บนหีบพระศพของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ประดับด้วยพระมหามงกุฎ Imperial State Crown และร่างของสมเด็จพระราชินีนาถจะได้รับการฝังเคียงข้างกับเจ้าชายฟิลลิป ผู้ตลอดรัชสมัยช่วยแบกรับน้ำหนักของมงกุฎกับพระองค์
……………………………………………………………………..
The Crawn เป็นซีรีย์ที่ต้นทุนสร้างสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กวาดรางวัลหลายเวทีรวมทั้งลูกโลกทองคำ ออกฉายแล้ว 4 ซีซัน โดยมีแผนการจะจบเรื่องทั้งหมดใน 6 ซีซัน ปีเตอร์ มอร์แกน ผู้ริเริ่มโครงการและเป็นผู้เขียนบทหลัก กล่าวหลังข่าวสิ้นพระชนม์ของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ว่า “The Crown คือจดหมายรักถึงพระองค์”(เรื่องที่ปรากฎในซีรีย์ไม่ใช่เตุการณ์จริงทั้งหมด แต่เขียนขึ้นจากการประมวลเหตุการณ์จริง)
ภาพจาก:Netflix,IMDB #BMFH:BewareMyFoolishHeart อ่านเรื่องอื่นๆ ได้ที่ https://web.facebook.com/bewaremyfoolishheart4 ข้อมูลจาก https://deadline.com/.../queen-elizabeth-death-the-crown.../ https://www.bbc.com/thai/international-62841217
Comments